Tagged: ธรรมวิภาค
วิสุทธิ 7
วิสุทธิ คือ ความบริสุทธิ์ในการประพฤติพรหมจรรย์ มี 7 อย่าง คือ
- สีลวิสุทธิ บริสุทธิ์จากการรักษาศีล
- จิตตวิสุทธิ บริสุทธิ์จากการรักษาจิตในสงบตั้งมั่น
- ทิฏฐิวิสุทธิ บริสุทธิ์จากการทำความเห็นให้ถูกต้อง รู้รูปนามตามกฎสามัญลักษณะ “นามรูปปริจเฉทญาณ”
- กังขาวิตรณวิสุทธิ บริสุทธิ์จากปัญญาที่รู้เหตุปัจจัยที่ทำให้รูปนามที่เป็นอารมณ์ปรากฎขึ้น เป็นเหตุให้ละความสงสัยในสักกายทิฏฐิตัวตนของรูปนาม
- มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ บริสุทธิ์จากปัญญาที่รู้ธรรมพิเศษว่าเป็นทางหรือไม่ใช่ทาง
- ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ บริสุทธิ์จากปัญญาที่รู้ทางปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง เมื่อรู้แล้วน้อมจิตเข้าสู่วิปัสสนาญาณ ยกรูปนามเป็นอารมณ์ด้วยวิปัสสนาญาณ9 เห็นโลกุตตรธรรม
- ญาณทัสสนวิสุทธิ บริสุทธิ์จากปัญญาที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นเหตุถึงความดับกิเลสตัณหาละสังโยชน์อย่างสิ้นเชิง
วิญญาณฐิติ 7
วิญญาณฐิติ หมายถึง ภูมิอันเป็นที่ปฏิสนธิวิญญาณ สัตว์ที่มีสัญญาต่างกัน มีการรับรู้อารมณ์แตกต่างกัน มีความแตกต่างกัน 7 จำพวก ดังนี้
- มีกายและสัญญาต่างกัน
- มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน
- มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน
- มีกายและสัญญาอย่างเดียวกัน
- เข้าถึงอากาสานัญจายตนฌาน
- เข้าถึงวิญญาณัญจายนตนฌาน
- เข้าถึงอากิญจัญญายตนฌาน
อนุสัย 7
อนุสัยกิเลส เป็นกิเลสอย่างละเอียดที่เมื่อมีสิ่งยั่วหรือกระตุ้นถึงจะแสดงอาการให้เห็น กิเลสชนิดนี้กำจัดได้ด้วยปัญญา มี 7 อย่าง คือ
- กามราคะ ผู้ยินดีกำหนัดหลงใหลในกามทั้งวัตถุกามและกิเลสกาม
- ปฏิฆะ ความหงุดหงิดด้วยอำนาจโทสะ เป็นผู้มีอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียว
- ทิฏฐิ เป็นความเห็นที่ผิดจากธรรมดา
- วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
- มานะ ความถือตัว มีนิสัยเย่อหยิ่งจองหอง พูดจาโอ้อวด ไม่มีสัมมาคาราวะ ทำให้เป็นคนไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีใครคบหาด้วย ถึงคราวลำบากไม่มีคนช่วยเหลือ
- ภวราคะ ความยินดีในสิ่งที่ตนมีครอบครองและเป็นอยู่
- อวิชชา ความไม่รู้สิ่งต่างๆตามสภาพความเป็นจริง ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม
เมถุนสังโยค 7
เมถุนสังโยค คือ ความประพฤติที่ยังมัวเมาพัวพันในเมถุน หากยังประพฤติเมถุนสังโยคแม้ข้อใดข้อหนึ่งก็ไม่อาจบรรลุมรรคผลใดๆได้ ดังนี้
- ยินดีชอบใจต่อการปรนนิบัตรับใช้ทางกายหญิง
- ยินดีชอบใจต่อการพูดจาหยอกเย้ากับหญิง
- ยินดีชอบใจต่อการจ้องมองสบตากับหญิง
- ยินดีชอบใจต่อการฟังเสียงของหญิง
- ยินดีชอบใจต่อการนึกถึงเรื่องราวในหนหลัง
- ยินดีชอบใจต่อการปฏิบัติรับใช้ของเศรษฐีที่อุปัฏฐากบำรุงตนเป็นเหตุให้ติดความสบาย
- มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นเทพจะได้เสวยทิพยสมบัติ
สวรรค์ 6
สวรรค์ คือ ภพภูมิที่อยู่ของเทวดา มีแต่สิ่งที่สวยงามละเอียดประณีต ความสุข และสิ่งอันเป็นทิพย์เพียบพร้อมด้วยกามคุณ 5 แบ่งเป็น 6 ชั้น คือ
- จาตุมหาราชิกา มีเจ้าแห่งเทวดา (ท้าวมหาราช) ผู้ปกครองเทวดาในชั้นนี้อยู่ 4 องค์ ตามทิศทั้งสี่ อันได้แก่ ท้าวธตรฐอยู่ทิศตะวันออกของเขาสิเนรุปกครองคนธรรพ์ , ท้าววิรุฬหกอยู่ทิศใต้ปกครองกุมภัณฑ์ , ท้าววิรูปักษ์ทิศตะวันตกปกครองนาคเทวดา , ท้าวกุเวรอยู่ทิศเหนือปกครองยักขเทวดา
- ดาวดึงส์ ผู้ปกครองชั้นนี้ คือ ท้าวสักกะ (ท้าวโกสีย์ หรือ พระอินทร์) ตั้งอยู่บนยอดเขาสิเนรุ
- ยามา สวรรค์ที่มีความสุขอันเป็นทิพย์ไม่ลำบาก ผู้ปกครองชั้นนี้ คือ ท้าวสุยาม
- ดุสิต เป็นสวรรค์ที่อยู่ของเทวดาผู้มีปัญญา พระโพธิสัตว์ก่อนจะเกิดในโลกมนุษย์และตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจะเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้เป็นชั้นสุดท้าย พุทธมารดาเมื่อครั้งทิวงคตแล้วก็เสด็จมาเกิดในชั้นนี้ ผู้ปกครองคือ ท้าวสันดุสิต
- นิมมานนรดี เป็นสวรรค์ที่เวดาผู้เนรมิตกามคุณขึ้นตามความปรารถนาของตนแล้วเพลิดเพลินชื่นชมกับอารมณ์ที่เนรมิตขึ้นนั้น สวรรค์สี่ชั้นแรกจะมีคู่ครองตามบุญญาธิการของตน ส่วนในชั้นนี้และชั้นที่ 6 ไม่มีคู่ครองประจำ เวลาปรารถนาในกามคุณจะเนรมิตเอาเมื่อเสร็จกิจแล้วกามคุณที่เนรมิตก็จะหายไป ผู้ปกครองคือ ท้าวนิมมิตะ
- ปรินิมมิตตวสวตตี สวรรค์ชั้นสูงสุดนี้เทวดาที่ต้องการเสวยทิพยสมบัติจะมีเทวดาผู้อื่นคอยเนรมิตให้ สวรรค์ชั้นนี้มี 2 เขตแดน คือ แดนเทวดา และแดนมาร มีชื่อผู้ปกครองคล้ายกันคือ ท้าวปรนิมมิตตวสวตีเทวราช หรือ มารราชาธิราช ตามแต่เขตแดนที่ตนปกครอง
ธรรมคุณ 6
ธรรมคุณ คือ คุณของพระธรรม , ลักษณะของพระธรรม มี 6 อย่าง คือ
- สวากขาโต ภควตา ธัมโม พระธรรมเป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
- สันทิฏฐิโก ผู้ศึกษาปฏิบัติและบรรลุจะเห็นได้ด้วยตนเอง
- อกาลิโก สามารถปฏิบัติและเห็นผลได้ตลอดเวลา ไม่จำกัดเวลา
- เอหิปัสสิโก ควรเชื้อเชิญให้ผู้อื่นได้มาดูศึกษาและปฏิบัติ
- โอปนยิโก ทุกคนควรนำพระธรรมมาศึกษาและปฏิบัติ
- ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ผู้บรรลุผู้เข้าถึงธรรมย่อมรู้ได้เฉพาะตน เป็นสิ่งที่บอกกล่าวให้ผู้อื่นมารับรู้ด้วยได้ยาก
อภิฐาน 6
อภิฐาน คือ กรรมหนักที่พุทธบริษัทสี่อาจกระทำได้ แต่พระตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปจะไม่กระทำ โดยห้าข้อแรกตรงกับ อนันตริยกรรม ส่วนที่เพิ่มมาคือในข้อ ที่ 6 มี 6 อย่าง ดังนี้
- มาตุฆาต ฆ่ามารดา
- ปิตุฆาต ฆ่าบิดา
- อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
- โลหิตุปบาท ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อเลือด
- สังฆเภท ทำสงฆ์ให้แตกกั
- อัญญสัตถุทเทส นับถือศาสดาอื่น ได้แก่ พระที่แปรเปลี่ยนไปนับถือศาสดาอื่นในขณะที่ตนเป็นพระภิกษุอยู่ถือว่าดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนาและศาสดาเดิมของตน
อภิญญา 6
อภิญญา หมายถึง ความรู้ยิ่ง, ปัญญาหยั่งรู้ๅ เป็นการกำหนดรู้ได้ด้วยอำนาจการบำเพ็ญวิปัสสนากัมมัฏฐาน เป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์ผู้บรรลุด้วยเจโตวิมุตติวิธี มี 6 อย่าง คือ ( แสดงฤทธิ์ได้,หูทิพย์,ตาทิพย์,กำหนดรู้ใจผู้อื่น,ระลึกชาติ,ทำอาสวะให้สิ้นไป)
- อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ ด้วยอำนาจที่สามัญชนไม่อาจทำได้
- ทิพพโสต หูทิพย์ ได้ยินเสียงที่ไกลหรือเบามากๆได้
- เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่น ทายความคิดเขาได้
- ปุพเพนิวาสานุสสติ ระลึกชาติได้ว่าในชาติก่อนได้เกิดเป็นอะไร เป็นใคร เรื่องราวอย่างไร
- ทิพพจักขุ ตาทิพย์ เห็นสิ่งที่อยู่ไกลหรืออยู่ในที่กำบังตาได้ เห็นการจุติและอุบัติของสัตว์เหมือนกับว่าเห็นด้วยตนเอง
- อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำให้อาสะสิ้นไป คือ รู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
พระอนาคามี 5
พระอนาคามี คือ อริยบุคคลผู้ไม่กลับมาเกิดในกามภูมิอีก หลังจากตายไปจะไปเกิดในสุทธาวาสภูมิตามกำลังอินทรีย์ หากไม่บรรลุอรหัตตผลในภูมินั้นก็จะจุติไปอยู่ในภูมิที่สูงกว่า จะไม่จุติซ้ำในภูมิเดิมหรือต่ำกว่าเดิม มี 5 ประเภท คือ
- อันตราปรินิพพายี ปฏิสนธิในสุทธาวาสภูมิแล้วบรรลุอรหัตตผล และจะนิพพานภายในเวลาไม่ถึงกึ่งแรกแห่งอายุขัยของภูมินั้นๆ
- อุปหัจจปรินิพพายี ปฏิสนธิในสุทธาวาสภูมิแล้วบรรลุอรหัตตผล และจะนิพพานภายในกึ่งหลังของอายุขัยของภูมินั้นๆ
- สสังขารปรินิพพายี ปฏิสนธิในสุทธาวาสภูมิแล้วบรรลุอรหัตตผลได้อย่างลำบากต้องใช้ความพยายามอย่างมากแล้วถึงจะนิพพาน
- อสังขารปรินิพพายี ปฏิสนธิในสุทธาวาสภูมิแล้วบรรลุอรหัตตผลได้สะดวกไม่ยากลำบาก แล้วถึงจะนิพพาน
- อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ปฏิสนธิในสุทธาวาสภูมิไปตามลำดับชั้นแล้วบรรลุอรหัตตผล แล้วถึงจะนิพพานในอกนิฏฐภูมิ
สุทธาวาส 5
สุทธาวาส หมายถึง ภูมิที่เกิดของบุคคลผู้เจริญสมถะจนได้จตุตฌาณและเจริญวิปัสสนาจนได้ตติยมรรค อันได้แก่ อริยบุคคลชั้นอนาคามี เมื่อสิ้นชีวิตไปแล้วจะไปเกิดในสุทธาวาสภูมิแน่นอน อยู่ที่ว่ามีอินทรีย์ 5 อย่างไหนมีอำนาจมากกว่ากันเป็นตัวกำหนดชั้นที่จะไปเกิด สุทธาวาส มี 5 ชั้น ดังนี้
- อวิหา ภูมิของพรหมที่อยู่ในชั้นและสมบัติจนหมดอายุขัย บุพกรรมคือ อำนาจสัทธินทรีย์ (ศรัทธา)
- อตัปปา ภูมิของพรหมที่มีความสงบเยือกเย็นไม่เดือดเนื้อร้อนใจ บุพกรรม คือ อำนาจวิริยินทรีย์ (ความเพียร)
- สุทัสสา ภูมิของพรหมที่มีร่างกายสวยงาม,เห็นสิ่งต่างๆได้อย่างแจ่มชัด บุพกรรมคือ สตินทรีย์ (สติ)
- สุทัสสี ภูมิของพรหมที่มีความบริบูรณ์มากกว่าสุทัสสาพรหม บุพกรรมคือ สมาธินทรีย์ (สมาธิ)
- อกนิฏฐา ภูมิของพรหมที่สมบูรณ์ด้วยทิพยสมบัติและความสุขอันหาได้ยากในภูมิอื่นเรียกว่า ภวัคคภูมิ บุพกรรมคือ ปัญญินทรีย์ (ปัญญา)